บริษัทรับเหมาก่อสร้าง VS ช่างรับเหมาก่อสร้าง
ปกติโดยทั่วไป เมื่อเรามีโครงการจะว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้าง ก็มักจะคำนึงถึงเรื่อง งบประมาณ เป็นหลักก่อนใช่ไหมครับ? เรื่องรองก็ความสวยงาม ประโยชน์ใช้สอยเป็นต้น แต่ถ้าท่านไม่ใช่ผู้ว่าจ้างที่คำนึงถึงเรื่องงบประมาณเป็นหลัก หัวข้อนี้ก็อาจจะไม่มีประโยชน์นัก เพราะคงจะเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างมากกว่าอยู่แล้ว เนื่องจากได้มาตราฐานกว่า ติดตามงานได้ง่ายกว่า และสุดท้ายมีความเป็นมืออาชีพมากกว่านั่นเอง
แต่..ถ้าท่านคำนึงถึงเรื่องงบประมาณเป็นหลัก ก็มักจะลังเลว่าจะว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างแบบไหนดี ระหว่าง บริษัทรับเหมาก่อสร้าง หรือ ช่างรับเหมาก่อสร้าง หรือพูดง่ายๆว่า จะว่าจ้างบริษัท หรือบุคคลดี นั่นเอง ดังนั้นเราจึงมาสรุปข้อแตกต่างของการว่าจ้างทั้ง 2 รูปแบบนั้น ว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ซึ่งบางข้อ อาจจะทำให้เราเปลี่ยนใจไป ก็เป็นได้ ดังนี้
1. ระบบการทำงานของผู้รับเหมาก่อสร้าง
ที่ให้เป็นข้อแรก เพราะหัวข้อนี้ จะเด่นชัดที่สุด เนื่องจากบริษัทกับบุคคล จะแตกต่างกันมากในเรื่องรูปแบบการทำงาน บริษัทรับเหมาก่อสร้าง จะทำงานเป็นระบบ แบ่งหน้าที่ของแต่ละคนชัดเจน มีการประสานงานอย่างมืออาชีพ มีเอกสาร สัญญา ทำให้ตรวจสอบย้อนหลังได้ แต่ถ้าเป็นบุคคล ระบบการทำงานจะไม่ชัดเจน คนนึงจะทำหน้าที่หลายอย่าง เนื่องจากทีมงานน้อย แต่ก็อาจจะมีส่วนดีบ้างคือ ขั้นตอนน้อย ไม่ต้องรอการอนุมัติอะไรมาก ไม่ต้องมีเอกสารก็ทำให้ได้ แต่คำถามคือ เวลาเกิดปัญหาขึ้น จะไม่สามารถตรวจสอบการร้องขอย้อนหลังได้เลย เพราะเป็นการเจรจาโดยคำพูดเพียงอย่างเดียว ซึ่งถ้าในกรณีผู้ว่าจ้าง กับผู้รับเหมายังไม่มีปัญหาส่วนตัวกัน ก็อาจจะจบกันง่าย แต่ถ้าเริ่มมีปัญหาไม่พอใจเป็นการส่วนตัว ก็อาจจะไม่จบกันได้อย่างง่าย เพราะทุกอย่างที่ตกลงกัน เกิดจากการพูดคุยกันอย่างเดียว ไม่มีหลักฐาน
2. ราคาค่ารับเหมาก่อสร้าง
ในส่วนของราคาส่วนมากน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่า ราคาในการรับเหมาก่อสร้าง ของบริษัทรับเหมา จะแพงกว่า ช่างรับเหมา อยู่พอสมควร เนื่องจากอะไรหลายๆอย่างเช่น ค่าดำเนินการ เพราะมีการว่าจ้างพนักงานที่เป็นมืออาชีพมาเป็นบุคลากรของบริษัทเอง ทำให้สามารถควบคุมการทำงานได้อย่างทั่วถึง ทั้งทางด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ระบบไฟฟ้า ระบบสุขาภิบาล เป็นต้น แต่ถ้าเป็นช่างรับเหมา อาจจะมีทีมงานไม่ครบถ้วน ทำให้ต้องว่าจ้างคนนอกมาช่วยดำเนินงานให้อีกทีนึง ซึ่งตรงนี้มักจะเกิดปัญหาในการประสานงาน เพราะเป็นการว่าจ้างงานต่อครั้ง และคนรับจ้างก็มักจะมีงานในมือ(Freelance) อยู่แล้ว ทำให้มีปัญหาในเรื่องการทำงานที่ล่าช้า
3. ทีมงาน
ข้อนี้ก็ค่อนข้างเห็นได้ชัดมาก เพราะถ้าเป็นในรูปบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จะมีทีมงานหลายส่วน แบ่งกันไปตามหน้าที่ชัดเจน ฝ่ายวิศวกรสำนักงานก็ดูการประมาณราคา ทำ BOQ ดูโครงสร้าง ออกแบบโครงสร้าง มีทีมวิศวกร QC เพื่อตรวจสอบการทำงานที่ไซต์งานก่อสร้าง มีทีมวิศวกรโครงการ ที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมงานที่โครงการ ซึ่งถ้าผู้ว่าจ้างรู้สึกได้ว่าการประสานงานล่าช้า หรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ก็สามารถร้องเรียนไปยังฝ่ายที่รับเรื่อง ซึ่งถ้าเรื่องนั้นเกิดจากบุคลากร ก็มีการแจ้งเตือนหรือเปลี่ยนบุคคลกรที่จะประสานงานกับผู้ว่าจ้างได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนี้คือข้อดี เพราะบริษัทรับเหมาก่อสร้างจะมีทีมงานค่อนข้างมาก ทำให้สลับเปลี่ยนหมุนเวียนทีมงานรับเหมาก่อสร้างกันได้ ตามความเหมาะสมกับหน้างานหรือผู้ว่าจ้างได้ แต่ถ้าเป็นช่างรับเหมาก่อสร้าง ที่มีทีมงานน้อย ถ้าคุณไม่พอใจกับการทำงานที่ล่าช้า ก็คงจะไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ นอกจากเปลี่ยนผู้รับเหมาอย่างเดียวเท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้น ทีมงานของบริษัทรับเหมาก่อสร้างมีบุคคลกรที่มีคุณภาพ ผ่านการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ทำให้เชื่อใจได้ว่า งานก่อสร้างจะออกมาอย่างมีคุณภาพ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
4. ความใส่ใจและการรับประกัน
ในเรื่องนี้จำเป็นต้องรวมมาไว้ด้วยกัน เพราะในส่วนของเนื้อหานั้นเกี่ยวข้องกันอย่างมาก บริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไปจะใส่ใจในเรื่องชื่อเสียงของบริษัท จึงมีความใส่ใจลูกค้าเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด ทั้งก่อนเริ่มโครงการ ตลอดจนแล้วเสร็จโครงการ และดูแลงานต่อเนื่องถ้าเกิดปัญหาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ถ้าอยู่ในระยะเวลาประกัน แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับนโยบายการบริหารงานของแต่ละที่ด้วยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ก็คงเหมือนบริษัทในธุรกิจอื่นๆ ที่จะมีทั้งดีและไม่ดี แต่ถ้าให้เทียบจากประสบการณ์ของผู้ว่าจ้าง(ส่วนมาก)แล้ว คงหาข้อมูลได้ไม่ยากจาก Internet ส่วนความใส่ใจและการรับประกันของช่างรับเหมาก่อสร้างนั้น ก็คงหาข้อมูลได้ไม่ยากเช่นกัน จากปากต่อปาก จาก Google หรือจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยว่าจ้างมา คงจะทราบดีว่าแตกต่างกันอย่างไร
แต่ทั้งนี้ต้องลองมามองในมุมของผู้รับเหมาที่เป็นบุคคลด้วย เพราะส่วนมากผู้ว่าจ้างที่จะจ้างช่างรับเหมา คือจะเน้นเรื่องราคาถูกเป็นสำคัญ ทำให้มีการกดราคา เน้นราคามาเป็นตัดสินใจของการได้งานอย่างเดียว ซึ่งทำให้ผู้รับเหมารายนั้นอาจจะได้กำไรน้อยมาก จนทำให้มีผลต่อคุณภาพของงาน คุณภาพของวัสดุ ซึ่งก็ต้องเข้าใจเค้าด้วย เหมือนคุณไปหาซื้อสินค้าจากร้าน A ซึ่งได้มาราคาถูก กว่าร้านอื่นๆ แต่กับต้องการระยะเวลาประกันสินค้าชิ้นนั้น เท่ากับร้านอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็คงไม่ได้ (แต่ร้านนั้นต้องไม่ปกปิดตอนขายของด้วยน่ะครับ ว่าระยะเวลาประกันเท่าไหร่) ใจเค้าใจเราครับ ????
5. ที่ตั้งและเบอร์โทรที่เป็นหลักแหล่ง
ในส่วนนี้อาจจะไม่ค่อยมีความสำคัญนัก แต่ถ้านึกถึงเวลาที่เราติดต่อผู้รับเหมาไม่ได้ (ส่วนมากจะเป็นเบอร์มือถืออย่างเดียวถ้าเป็นบุคคล) เวลามีปัญหาจะทำอย่างไร? ซึ่งปัญหานี้จะไม่เกิดกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่มีที่อยู่ที่เป็นหลักแหล่ง เชื่อถือได้ มีเบอร์สำนักงานให้ติดต่อได้ หรือสามารถเข้ามาติดต่อเองได้เลยที่สำนักงาน แต่ถ้าเป็นช่างรับเหมา มักจะอาศัยทำบ้านเป็นสำนักงาน ทำให้ถ้าติดต่อผ่านมือถือไม่ได้ ก็จะไม่มีช่องทางติดต่ออื่น หรือมีแต่ติดต่อยากนั่นเอง
6. เงินทุน
เรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหาเลย ถ้าผู้รับเหมาก่อสร้าง ทำตามกฏ กติกา คือรับเงินตามงวดมาแล้ว ก็เอาเงินที่รับมานั้นซื้อวัสดุ จ่ายค่าแรง หรือเรียกง่ายๆว่าใช้เงินไปหมุนอย่างถูกต้อง เพราะเป็นเงินที่ผู้ว่าจ้างจ่ายมา เพื่อไปใช้ในงานที่เค้าว่าจ้างเราไปทำ แต่ก็มีผู้รับเหมาก่อสร้างบางส่วนที่ไม่ค่อยมีเงินทุน หรือขาดทุนจากงานก่อนหน้ามา จึงนำเงินของผู้ว่าจ้างไปใช้ก่อน ซึ่งตรงนี้กว่าผู้ว่าจ้างจะรู้ ซึ่งจะเห็นได้จากงานก่อสร้างที่ล่าช้าอย่างผิดสังเกตุ ดังนั้นในฐานะผู้ว่าจ้างก็ควรจะหาข้อมูล หรือสอบถามไปทางผุ้รับเหมาก่อสร้าง ว่าตอนนี้มีงานโครงการที่ดูแลอยู่มากน้อยขนาดไหน แล้วไปเทียบกับทีมงานที่เค้ามี และในทางตรงกันข้าม ในส่วนของผู้ว่าจ้างก็ควรจะรักษากติกา เช่นกัน ควรจ่ายตามงวดงานที่แล้วเสร็จ เพื่อที่ทางผู้รับเหมาจะได้นำเงินไปใช้ในการทำงานงวดงานต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด หรือบางท่านอาจจะเทียบอย่างง่ายๆว่า ผู้รับเหมาควรจะมีทุนอย่างน้อย 10-20% ของมูลค่างานรับเหมาก่อสร้าง เพื่อที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า จะมีทุนนำไปซื้อวัสดุ และจ่ายค่าแรง ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องรอเงิน Advance หรือจากงวดงานอย่างเดียวเท่านั้น
แชร์โพสต์นี้ :